วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ติดต่อปรึกษาเรา (Contact Us)

---------------------------------

ผลิตภัณฑ์เม็ดแมงลักและราคาจำหน่าย

จำหน่ายผลิตภัณฑ์เม็ดแมงลักคุณภาพ
บรรจุถุงละ 0.5 กิโล ราคา 295 บาท/ถุง (จัดส่งฟรี)
พิเศษ! สั่งซื้อครบ 1 กิโล เหลือเพียง 495 บาทเท่านั้น (2 ถุง)


บรรจุถุงละ 0.5 กิโล ราคา 295 บาท/ถุง 
พิเศษ! สั่งซื้อครบ 1 กิโล เหลือเพียง 495 บาทเท่านั้น (2 ถุง)
(+จัดส่งธรรมดา 55 บาท หรือ ลงทะเบียน 85 บาท)
---------------------------------

สูตรทำน้ำเม็ดแมงลักด้วยตนเองง่ายๆ

คุณค่าทางโภชนาการ เม็ดของแมงลักที่ดอกแก่จะเป็นสีดำ คล้ายงาดำนั้นเป็นยาสมุนไพรที่ดีมากใช้เป็นยาระบายได้อย่างวิเศษจริงๆท่านที่ท้องผูกจะต้องดื่ม น้ำเมล็ดแมงลักนี้แล้วท่านจะเป็นผู้ที่ท้องไม่ผูก ถ่ายคล่องมากสุขภาพก็จะดีอยู่เสมอ 

วัตถุดิบที่ใช้   
- เม็ดแมงลัก 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำสะอาด 1 ถ้วยตวง
- น้ำแข็งทุบละเอียด 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ 
จัดการเลือกเศษผงออก แล้วต้มน้ำใส่หม้อต้มจนเดือด พอเดือดก็เทใส่ในภาชนะที่เม็ดแมงลักอยู่
คนให้เข้ากัน เม็ดแมงลักจะพองตัวออก มีลักษณะเป็นพอกขาวใสตรงกลางเม็ดแมงลักจะมีสีดำๆ
เม็ดแมงลักจะพองตัวออกมามาก ปล่อยไว้ให้เย็นลง ผสมน้ำตาลทราบแดงเข้าไปคนให้กันดีกับน้ำ
ดื่มก่อนเข้านอนจะช่วยให้เกิดการระบายท้องไส้ได้ดีอย่างวิเศษนัก
---------------------------------

ลักษณะทั่วไปของเม็ดแมงลัก

ลักษณะทั่วไปของเม็ดแมงลัก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum basilicum L.f. var. citratum Back.
วงศ์ : Labiatae
ชื่อสามัญ Hairy Basil
ชื่ออื่น มังลัก (ภาคกลาง) กอมก้อขาว (ภาคเหนือ) ผักอีตู่  (เลย)

ลักษณะทั่วไป :
แมงลักมีลักษณะทรงต้น ใบ ดอก และผลคล้ายโหระพา ต่างกันที่กลิ่น ใบสีเขียวอ่อนกว่า กลีบดอกสีขาวและใบประดับสีเขียว
ต้น เป็นไม้ล้มลุก ขนาดเล็ก ลำต้นสูงประมาณ  2-3 ฟุต โคนลำต้นแข็ง ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขามาก กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยม
ใบ เป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบกลมรี ปลายใบแหลม มีสีเขียวอ่อน มีขนนิ่ม กลิ่นใบหอม
ดอก ออกเป็นช่อ ตามบริเวณปลายกิ่ง หรือยอด ดอกมีลักษณะเป็นกลีบสีขาว ดอกจะคงทน และอยู่ได้นาน
ผล เมื่อกลีบดอกร่วง ก็จะเป็นผล ผลมีขนานเล็ก มีสีน้ำตาลเข้ม ภายในผลมีเมล็ดอยู่ 4 เมล็ด

การขยายพันธุ์          
ขยายพันธุ์ด้วยการใช้ เมล็ด


ประโยชน์ทางสมุนไพร 
ตำรายาไทยมักเรียกผลแมงลักว่าเม็ดแมงลัก ใช้เป็นยาระบายชนิดเพิ่มกาก เพราะเปลือกผลมีสารเมือกซึ่งสามารถพองตัวในน้ำได้ 45 เท่า เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ชอบกินอาหารที่มีกากเช่น ผัก ผลไม้ ใช้ผลแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำ แก้ว จนพองตัวเต็มที่ กินก่อนนอน ถ้าผลแมงลักพองตัวไม่เต็มที่จะทำให้ท้องอืดและอุจจาระแข็ง จากการทดลองพบว่าแมงลักทำให้จำนวนครั้งในการถ่ายและปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้อุจจาระอ่อนตัวกว่าปกติ นอกจากนี้ใบและต้นสดมีฤทธิ์ขับลม เนื่องจากมีน้ำมันหอมระเหย


สรรพคุณ
ลำต้น : ตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำดื่ม เป็นยาแก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ และแก้โรคทางเดินท้องร่วง หรือใช้กากใบที่ตำทาแก้โรคผิวหนังทุกชนิดใช้ลำต้นสด นำมาต้มเอาน้ำดื่ม เป็นยาแก้ไอ ขับเหงื่อ ขับลม กระตุ้น และแก้โรคทางเดินอาหาร เป็นต้น
ใบ : ใช้ลำต้นสด นำมาต้มเอาน้ำดื่ม เป็นยา แก้ไอ ขับเหงื่อ ขับลม กระตุ้น และแก้โรคทางเดินอาหาร ใช้ใบสด นำมาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำกิน เป็นยาแก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ แก้โรคท้องร่วง หรือใช้กากใบที่ตำทาแก้โรคผิวหนังทุกชนิด
เมล็ด : ใช้เมล็ดแห้ง เมื่อนำมาแช่น้ำจะเกิดการพองตัวแล้วใช้กินเป็นยาระบาย ลดความอ้วน ช่วยดูดซึมน้ำตาลในเส้นเลือด ขับเหงื่อ และช่วยเพิ่มปริมาณ ของอุจจาระเป็นเมือกกลืนในลำไส้

---------------------------------

ลดน้ำหนักด้วยเม็ดแมงลักได้ผลจริงหรือ

เป็นสูตรลดน้ำหนักที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วว่า การกินเม็ดแมงลักแช่น้ำให้พองๆ แทนมื้ออาหารจะทำให้ลดน้ำหนักได้ ซึ่งสูตรลดน้ำหนักนี้เชื่อว่าหลายคนคงต้องเคยลองมาบ้างแล้ว แต่ถ้าถามว่ามันใช้ได้ผลจริงไหม ทำไมจึงได้ผล และจะมีผลข้างเคียงในการลดน้ำหนักหรือไม่ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับเม็ดแมงลักกันให้มากขึ้นครับ

เม็ดแมงลักคืออะไร?

เม็ดแมงลักมาจากต้นแมงลักครับ ต้นแมงลักนั้นเป็นพืชล้มลุกคล้ายๆ กับต้นกะเพรา หรือ โหระพาที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี แต่ต้นแมงลักจะมีใบเล็ก สีอ่อน และบอบบางกว่าต้นกะเพราหรือโหระพานั้นเอง
คนไทยนำเอาใบแมงลักมาเป็นผักใส่ในอาหารไทยหลายรายการโดยเฉพาะนำมาทานคู่กับขนมจีนน้ำยาต่างๆ หรือใส่ในแกง นอกจากนั้นยังมีการนำเม็ดแมงลักมาใช้เป็นส่วนผสมในขนมอื่นๆ อีกด้วย

เม็ดแมงลักมีสารอะไรถึงทำให้ลดน้ำหนักได้?

ในเม็ดแมงลัก 100 กรัมจะมีโปรตีน 3.8 กรัม มีสารอาหารอื่นๆ เช่น แคลเซียม, บีตา-แคโรทีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีผลอย่างมากในการรักษาสุขภาพและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย รวมถึงวิตามินบี วิตามินซีและสารอาหารอีกหลายชนิด
แต่ในขณะเดียวกันเม็ดแมงลักกลับให้พลังงานต่อร่างกายเพียงแค่ 0.03 กิโลแคลอรี่ แต่กลับสามารถพองตัวเมื่อเราทานเข้าไป ทำให้ร่างกายย่อยนานกว่า ได้สารอาหาร และพลังงานต่ำ จึงทำให้คนที่กินเม็ดแมงลักอย่างถูกวิธีจะสามารถลดความอยากกินจุกจิก หรืออาการหิวบ่อยๆ ในระหว่างมื้อได้เป็นอย่างดี ทำให้ในระยะยาวสามารถลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น
นอกจากนั้นเม็ดแมงลักยังทำหน้าที่เป็นยาระบายอ่อนๆ สามารถช่วยทำความสะอาดผนังลำไส้ได้ แต่สำหรับบางคนที่กินเม็ดแมงลักกลับมีปัญหาท้องผูก เนื่องจากกินเม็ดแมงลักผิดวิธีนั้นเอง

กินเม็ดแมงลักแล้วทำให้ลดน้ำหนักได้จริงหรือ?
ตัวเม็ดแมงลักเองไม่สามารถทำให้ไขมันเก่าที่สะสมไว้สลายไปได้ แต่คุณสมบัติที่เด่นของมันคือ ให้พลังงานต่ำ กินแล้วอิ่มนาน มีสารอาหารอื่นๆ เสริม กินง่ายและราคาถูก
การนำเม็ดแมงลักมาใช้ในการลดน้ำหนัก จึงใช้หลักการที่มันสามารถพองตัวได้ กินแล้วอิ่มนาน ทำให้หลายคนเอามาทดแทนอาหารมื้อเย็น ซึ่งคนที่อ้วนมักจะกินมื้อเย็นเยอะ หรือกินตอนดึกๆ การกินเม็ดแมงลักในมื้อเย็นทานอาหารเย็น นอกจากจะได้พลังงานที่ต่ำแล้ว ยังอิ่มนานอยู่ท้องไม่ต่างกับการกินอาหารปกติด้วย เมื่อเราอิ่มก็จะไม่อยากกินขนมจุกจิกหรืออาหารอย่างอื่น ทำให้เราได้พลังงานจากอาหารต่างๆ ที่กินเข้าไปตลอดทั้งวันลดลงอย่างน้อยก็ 300-500 กิโลแคลอรี่ (ปกติอาหารหนึ่งมื้อร่างกายจะได้พลังงานประมาณ 300-500 กิโลแคลอรี่ ขึ้นอยู่กับเมนูอาหาร)
เมื่อเราได้พลังงานน้อยกว่าที่ต้องใช้จริงในแต่ละวัน ร่างกายจะดึงไขมันสะสมที่มีอยู่ตามร่างกายมาเผาผลาญเป็นพลังงานทดแทน ทำให้คนที่กินเม็ดแมงลักแทนมื้ออาหารเย็นต่อเนื่องกัน จะสามารถค่อยๆ ลดน้ำหนักลงได้อย่างช้าๆ โดยที่ไม่ต้องไปหักโหมออกกำลังกายใดๆ
สูตรการกินเม็ดแมงลักเพื่อลดน้ำหนักให้ได้ผล
แนะนำว่าควรกินมื้อเย็น โดยใช้เม็ดแมงลักเพียง 1-2 ช้อนชา ต่อน้ำ 250 ซึซี (น้ำ 1 แก้วใหญ่) แช่เม็ดแมงลักไว้ประมาณ 30 นาที เมื่อเวลาผ่านไป จะเห็นว่าเม็ดแมงลักพองตัวมากขึ้น เวลากินก็ดื่มและกินเม็ดแมงลักที่พองแล้วเข้าไป
กรณีที่รู้สึกว่าแช่น้ำเปล่าแล้วไม่อร่อย สามารถเปลี่ยนจากน้ำเปล่าเป็นน้ำขิง หรือน้ำสมุนไพร (ไม่ใส่น้ำตาล) อย่างอื่นก็ได้เช่นกัน

กินเม็ดแมงลักนานแค่ไหนถึงจะเห็นผลลดน้ำหนักได้?

อย่างที่บอกไปแล้วว่า เม็ดแมงลักไม่สามารถเผาผลาญไขมันเก่าที่สะสมตามร่างกายได้ ตัวที่จะเผาผลาญไขมันเก่าคือร่างกายของเราเอง เม็ดแมงลักเป็นตัวช่วยให้เราไม่หิวและเผลอกินอาหารเข้าไปมากเกินกว่าความจำเป็นของร่างกาย
ดังนั้นเราไม่สามารถระบุวัน หรือจำนวนสัปดาห์ในการกินเม็ดแมงลักให้เห็นผลได้ แต่โดยเฉลี่ยแล้ว 1 เดือนจะเห็นผลเรื่องน้ำหนักตัวและสัดส่วน ตามกลไกธรรมชาติของการลดน้ำหนักแล้ว หากเรากินน้อยกว่าที่ต้องใช้ในแต่ละวัน ภายใน 1 เดือนน้ำหนักตัวจะปรับลดลงประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อเดือนโดยที่ร่างกายไม่โทรมหรือเหี่ยวก่อนวัยอันควร

กินเม็ดแมงลักเพื่อลดความอ้วนอันตรายไหม?

ทุกสิ่งทุกอย่างหากใช้ในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจจะส่งผลไม่ดีได้ การกินเม็ดแมงลักเพื่อหวังผลในการลดน้ำหนักนั้น หลายคนเลือกใช้ผิดวิธี บางคนใช้สัดส่วนที่ผิด ทำให้กินแล้วไม่ได้ผล ในขณะที่บางคนกินแล้วแต่กินน้ำน้อย ทำให้ท้องอืดมากกว่าเดิม
อันตรายจากการกินเม็ดแมงลักนั้น ยังไม่มีการระบุว่าอันตรายถึงชีวิต แต่ผลข้างเคียงของหลายคนที่กินเม็ดแมงลักเพื่อลดความอ้วนก็คือ อาการท้องอืด (เพราะใส่เม็ดแมงลักเยอะเกินไป ใส่น้ำน้อยเกิน) โดยอาการเหล่านี้จะหายไปหากเราปรับลดจำนวนในการกินลงให้ถูกต้อง
---------------------------------

7ข้อสำคัญประโยชน์ของเม็ดแมงลัก

ประโยชน์ของเม็ดแมงลัก 

          1. เม็ดแมงลัก ลดความอ้วน เพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ เพราะมีสรรพคุณในการเปลี่ยนคอเลสเตอรอลไปเป็นกรดน้ำดี และยังช่วยเพิ่มการขับออกของกรดน้ำดีด้วย ซึ่งจะไปลดเฉพาะคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) แต่ไม่มีผลใด ๆ กับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)

           2. เม็ดแมงลัก ลดน้ําหนัก ตัวช่วยสำหรับผู้ที่ต้องควบคุมน้ำหนักและความอ้วน เนื่องจากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และมันสามารถพองตัวได้มากถึง 45 เท่า !! เมื่อนำมารับประทานเป็นอาหาร (ควรรับประทานแค่บางมื้อต่อวัน เพื่อป้องกันโรคขาดสารอาหาร) หรือจะรับประทานก่อนอาหารเพื่อทำให้กระเพาะไม่ว่างและรู้สึกอิ่มเป็นการช่วยควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานไปด้วยเป็นอย่างดี

           3. เม็ดแมงลัก เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจได้อีกด้วย

           4. เม็ดแมงลักเป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะช่วยทำให้การดูดซึมของน้ำตาลลดลง เนื่องจากเม็ดแมงลักทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ช้าลงอยู่แล้ว

           5. เม็ดแมงลักเป็นอาหารที่รับประทานง่าย กลืนง่ายลื่นคอและเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานอาหารที่มีกากใยอย่างพวก ผักผลไม้

           6. เม็ดแมงลัก ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้เป็นปกติและมีประสิทธิภาพ ขับถ่ายสะดวก เป็นยาระบายช่วยกระตุ้นการขับถ่ายด้วยการรับประทานเม็ดแมงลักก่อนเข้านอน

           7. เม็ดแมงลัก สรรพคุณล้างลำไส้ ช่วยดีท็อกซ์แก้ปัญหาอุจจาระตกค้าง ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย มีพยาธิ ระบบย่อยอาหารผิดติ ระบบดูดซึมเสีย และขับถ่ายไม่เป็นเวลา (ช่วงเช้า 05.00 - 07.00 น.)


ประโยชน์จากส่วนอื่นๆของต้นแมงลัก
         1. ใบแมงลักช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะได้
         2. ใบแมงลักมีสรรพคุณในการช่วยขับเหงื่อ
         3. ใบแมงลักมีฤทธิ์ช่วยขับลมในลำไส้
         4. ใบแมงลักต้มกับน้ำดื่มเป็นประจำช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือทางเดินอาหารได้
         5. ใบแมงลักมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้
         6. ใช้ใบสดมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วรับประทาน สรรพคุณช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ
         7. รักษาโรคกลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 10 ใบนำมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำมาตำผสมน้ำเล็กน้อย แล้วทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนวันละ 1 ครั้งประมาณ 1-2 สัปดาห์อาการจะดีขึ้น

---------------------------------

เม็ดแมงลัก คือ อะไร

เม็ดแมงลัก (ชื่อวิทยาศาสตร์ Ocimum × citriodourum) 

เม็ดแมงลัก เป็นพืชล้มลุกในสกุลกะเพรา-โหระพา แมงลักมีใบเล็ก สีอ่อน บอบบาง ช้ำง่ายและเหี่ยวง่ายกว่า ชื่อสามัญเดิมเรียกกันว่า hoary basil (hoary แปลว่าผมหงอก) โดยนำมาจากลักษณะที่มีขนอ่อนสีขาวๆ บริเวณก้านใบและยอดอ่อน ต่อมาก็เปลี่ยนมาเรียกว่า lemon basil ตามลักษณะกลิ่นที่คล้ายส้ม-มะนาว ส่วนแมงลักศรแดงของไทยเรียกว่า Thai lemon basil

แมงลักนำไปใช้ได้ทั้งใบและเมล็ด ใบมีกลิ่นฉุน ใช้ประกอบอาหารเช่นเดียวกับกะเพราและโหระพา ส่วนมากจะใช้รับประทานกับขนมจีน หรือใส่เครื่องแกงต่างๆ ส่วนเมล็ดแมงลักใช้ทำเป็นขนมอื่นๆ ได้ นอกจากนี้ เมล็ดแมงลักนำมาทำเป็นยาระบายและอาหารเสริมลดความอ้วนได้
แมงลักในประเทศไทยนั้น มี หลากหลายยี่ห้อและหลากหลายสายพันธุ์ ไม่ใช่ยี่ห้อดังยี่ห้อเดียวอย่างที่เข้าใจ ลักษณะพันธุ์ที่ดีใบต้องใหญ่พอดิบพอดี ไม่เล็กจนแคระแกร็น ดอกสีขาวเป็นชั้นๆ คล้ายฉัตร

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์


การใช้ประโยชน์
แมงลัก ใบใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร เช่น ห่อหมก แกงเลียง อ่อม แกงคั่ว ขนมจีนน้ำยา พบมากในอาหารอีสาน เมล็ดแชน้ำให้พอง ใช้ทำขนมหรือรับประทานกับน้ำแข็งไส ไอศกรีม ใบมีฤทธิ์ขับลมในลำไส้ แก้ท้องอืด ช่วยย่อยอาหาร เมล็ดช่วยย่อยอาหาร เป็นยาระบาย สกัดน้ำมันหอมระเหยจากใบไปใช้ในอุตสาหกรรมสบู่และเครื่องสำอาง กิ่งและใบทุบแล้ววางในเล้าไก่ ช่วยไล่ไรตัวเล็กๆได้[1]

คุณค่าทางโภชนาการ
แมงลักมีโปรตีน 3.8 กรัมต่อน้ำหนักใบสด 100 กรัม ซึ่งสูงกว่ากะเพราและโหระพา ข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย รายงานว่า แมงลัก 1 ขีด มีบีตา-แคโรทีนสูงถึง 590.56 ไมโครกรัม เทียบหน่วยเรตินัล สูงกว่ากะเพราและโหระพา และให้แคลเซียม 140 มิลลิกรัม ส่วนกรมส่งเสริมการเกษตรระบุว่า ใบแมงลักให้พลังงาน 0.032 กิโลแคลอรี่ วิตามินเอ 9,164 หน่วยสากล และวิตามินบี2 ประมาณ 0.14 มิลลิกรัม ซึ่งน้อยกว่ากะเพราและโหระพา แต่แร่ธาตุอื่นๆ มีสูงกว่า เช่น มีไขมันสูงถึง 0.8 กรัม แป้งมากถึง 11.1 กรัม แคลเซียม 350 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 86 มิลลิกรัม เหล็ก 4.9 มิลลิกรัม วิตามินบี1 0.30 มิลลิกรัม และวิตามินซี 78 มิลลิกรัม

การปลูกเลี้ยง
สามารถปลูกได้โดยใช้กิ่งชำหรือใช้เมล็ดเพาะเป็นต้นกล้าแล้วย้ายปลูก เมื่อเมล็ดงอกขึ้นมาได้อายุ 1 เดือน ลงแปลงที่เตรียมดินไว้ ระยะระหว่างต้นและระหว่างแถว 40 เซนติเมตร แต่ถ้าเมื่อถอนขึ้นมาก่อนนำไปปลูกลงดิน ต้องตัดยอดทิ้งก่อนหรืออาจตัดออกครึ่งต้นก็ได้ ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรตัดแต่งรากด้วย เพราะแมงลักที่ตัดแต่ง รากจะงอกงามกว่า แต่ทั้งนี้เวลานำไปปลูก ต้องรดน้ำด้วย ใช้ปลูก หลุมละ 2-3 ต้น เมื่อต้นแมงลักเติบโต กิ่งก้านใบก็จะคลุมถึงกันหมด

การเลือกพื้นที่ปลูก
แมงลักเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุเฉลี่ย 1-2 ปี ปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวไปได้เรื่อยๆ ทุก 15-20 วัน การเลือกพื้นที่ปลูกควรเป็นที่ดอน แต่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ สามารถนำน้ำมาใช้รดได้สะดวก ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมขัง ปกติสามารถขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด แต่แมงลักจะชอบดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ร่วนซุย ระบายน้ำดี และปลอดจากลมแรง

การเตรียมดิน
ไถดินให้ลึก 30-40 เซนติเมตร ตากดินไว้ 1-2 อาทิตย์ แล้วย่อยดินให้ละเอียด หว่านปูนขาว ในอัตรา 100-300 กิโลกรัม / ไร่ ใส่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอก อัตรา 2,000 กิโลกรัม / ไร่ ปุ๋ยสูตร 16-16-16อัตรา 30 กิโลกรัม/ไร่ คลุกเคล้าให้ทั่วแล้วยกแปลง ให้สูง ประมาณ 30 เซนติเมตร

การดูแลรักษา
ควรจะให้น้ำสม่ำเสมอ วันละ 1 ครั้ง ใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0 หลังเพาะกล้า 7 วัน และครั้งที่2 ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 20-11-11 ในอัตรา 25-30 กิโลกรัม/ไร่ หลังจากครั้งแรก 15 วัน

การเก็บเกี่ยว
ใช้มีดตัดกิ่งที่เจริญเติบโตเต็มที่ มัดแล้วนำไปจำหน่าย สามารถเก็บเกี่ยวได้หลายครั้งแต่ถ้ายังไม่มีผู้รับซื้อเกษตรกรสามารถชะลอการเก็บเกี่ยวออกไปได้โดยการเด็ดยอดที่มีดอกทิ้ง จนถึงระยะเวลา 7-8 เดือน หลังจากนั้นผลผลิตจะลดลงเรื่อยๆ เกษตรกรจึงควรทำการถอนทิ้งเพื่อปลูกใหม่

แหล่งเพาะปลูกแมงลักเชิงการค้า
แหล่งเพาะปลูกแมงลักภายในประเทศไทย ให้ผลผลิตเพียง 112 กิโลกรัม ต่อพื้นที่เพียง 148 ไร่เท่านั้น ซึ่งเป็นอัตราส่วนผลผลิตต่อไร่ ที่น้อยมากเมื่อเทียบกับกะเพรา และโหระพา

---------------------------------

เคล็ดลับการลดไขมันหน้าท้องด้วยเม็ดแมงลัก

คอลัมน์ออกกำลังเป็นยาวิเศษเผยว่า การควบคุมปริมาณและชนิดของอาหารในแต่ละมื้อ พร้อมทั้งดื่มน้ำตามให้มากๆ ควบกับกินเม็ดแมงลักแช่น้ำอุ่นสัก 1 แก้ว ผสมน้ำหวานนิดหน่อย ก่อน 5 โมงเย็น จะทำให้เราปลอดภัยจากไขมัน
“ไขมัน” เป็นสิ่งที่เราสร้างมาเองทั้งนั้น แต่เราก็ต้องมานั่งปวดหัวเพื่อที่จะกำจัดมันซะเอง
สำหรับเทคนิคในการสลายไขมันที่จะนำมาแนะนำในวันนี้มาจากคอลัมน์ “ออกกำลังกายเป็นยาวิเศษ” ในจดหมายข่าว “สร้างสุข” เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่ อ.รุ่งชัย ชวนไชยะกูล และแผนงานส่งเสริมการออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพ สสส. บอกไว้ว่า
เคล็ดเทคนิค คือ ให้ “พลังงานที่กินเข้าไปต้องน้อยกว่าพลังงานที่ใช้” โดยเริ่มจากต้องกินให้น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น หัวใจหลักก็คือต้อง “ควบคุมปริมาณอาหาร ชนิดของอาหารแต่ละมื้อ” อย่างเคร่งครัดนั่นเอง แต่ความต้องการพลังงานของคนเรานั้นก็แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ เพศ อายุ ลักษณะและขนาดรูปร่างของร่างกาย

วิธีนี้อาจทำให้ร่างกายต้องการ และจะหักโหมกินอาหารในมื้อต่อไปมากขึ้นซึ่งก็มีทางแก้ง่าย ๆ คือต้องดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ หรือลดความหิวด้วยการนำเม็ดแมงลักมาแช่ในน้ำอุ่นสัก 1 แก้ว แล้วเติมน้ำหวานลงไปนิดหน่อย แล้วรอให้เม็ดแมงลักพองตัว แล้วดื่มให้หมด เพราะพลังงานที่เกิดจากการกินเม็ดแมงลักเข้าไปนั้นจะถูกใช้มากที่สุด และควรจะกินเม็ดแมงลักก่อน 5 โมงเย็น
ส่วนอีกวิธีก็คือ การออกกำลังกายให้นานกว่าปรกติ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเพิ่มการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ซึ่งก็คือหากจะลดน้ำหนักลงครึ่งกิโลกรัมใน 1 อาทิตย์ จะต้องออกกำลังกายเผาผลาญไขมันให้ได้วันละ 500 กิโลแคลอรี และต้องออกกำลังกายติดต่อกันทั้ง 7 วัน แต่การออกกำลังกายทุกวันนั้นอาจหนักเกินไป ทำให้ร่างกายไม่มีเวลาพักผ่อน อาจเกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า โทรมได้
      ดังนั้น จึงไม่ควรเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ถ้าทำทั้งสองวิธีไปพร้อมๆใน 1 วัน ด้วยการลดกินอาหารลงประมาณ 250 กิโลแคลอรี และออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันวันละ 250 กิโลแคลอรี ก็จะช่วยให้ไม่เราโหยอาหาร และจะช่วยให้น้ำหนักของเราลดลงทีละน้อ อย่างถาวรด้วย
---------------------------------